About us
ประวัติความเป็นมา
มูลนิธิฉันทมิตร เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ. 1982 โดย แพทย์หญิงกาญจนา คงสืบชาติ แพทย์คริสตชนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังและโรคเรื้อน ขณะนั้นท่านรับราชการในกรมควมคุมโรคติดต่อ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงนำให้ท่านได้พบกับพันธมิตร ในการรับใช้พระเจ้าในงานโรคเรื้อน คือ มร.อิซากุ ฟูจิวารา ซึ่งเป็นประธานมูลนิธิ โคเซนซา องค์การคริสเตียน ที่ท่านทำงานกับผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน ในประเทศญี่ปุ่น
หลังจากพบกันทั้งสองท่านได้มีโอกาสแบ่งปันภาระใจ เพื่อที่จะนำความรักและการช่วยเหลือของพระเจ้าไปสู่ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อน ซึ่งมีอยู่มากในประเทศไทยเวลานั้น ทั้งนี้พระเจ้าได้ประทานความรักในผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อน และภาระใจแก่ท่านทั้งสอง ให้ประธานมูลนิธิโคเซนชาสนับสนุน พญ. กาญจนา คงสืบชาติ เริ่มก่อตั้ง องค์การฉันทมิตร เพื่อจะนำความช่วยเหลือในด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณไปสู่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน องค์การ ฉันทมิตร จึงเกิดขึ้นจากความรักของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระองค์ที่ จะช่วยเหลือผู้ป่วยที่สังคมรังเกียจและทอดทิ้งให้ได้รับการช่วยเหลือจากพระเจ้า ทั้งในฝ่ายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ


กิจกรรมในระยะแรกเริ่มก่อตั้งของ องค์การฉันทมิตร คือ การเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยตามนิคมโรคเรื้อนของรัฐฯ พร้อมกับนำสิ่งของที่จำเป็นต่อการดำรงชีพไปให้ สนับ สนุนการสร้างคริสตจักรในนิคมโดยการประสานความช่วยเหลือกับทางภาครัฐฯ และคริสตจักรต่างๆ ในช่วงแรก แพทย์หญิงกาญจนา และคริสตชนกลุ่มเล็กๆ ที่มีภาระใจได้ร่วมกัน ทำงานฐานะอาสาสมัคร ต่อมาในปี 1986 งานขององค์การฯขยายมากขึ้นจำเป็นต้องมีผู้ทำการเต็มเวลา คุณหมอกาญจนาจึงได้ลาออกจางานราชการของกรมควบคุมโรคติดต่อ เพื่อมารับราชกิจของพระเจ้าเต็มเวลา ในองค์การฉันทมิตร ซึ่งได้จดทะเบียนเป็นองค์การฉันทมิตร ภายใต้สหกิจคริสตเตียนแห่งประเทศไทย



ปัจจุบันองค์การฉันทมิตรเป็นองค์การคริสเตียนสาธารณกุศล ที่มีผู้ร่วมงานเต็มเวลา 35 ท่าน และสนับสนุนบางส่วน 3 ท่าน ทำงานในพื้นที่ที่มีนิคมของผู้ป่วยตั้งอยู่จำนวน 8 แห่งใน 12 แห่งทั่วประเทศไทย กิจกรรมในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อนและครอบครัว มีดังนี้คือ
1.โครงการฉันทมิตร โครงการที่ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อนโดยตรงใน 3 ด้าน คือ
– ด้านร่างกาย ให้ความช่วยเหลือทางด้านสุขภาพฝ่ายร่างกาย โดยให้อวัยวะเทียมแก่ผู้ป่วยที่พิการ แขน ขา การผ่าตัดรักษาอวัยวะบางส่วน ในรายที่ยังสามารถรักษาให้เป็นปกติได้โดยประสานความร่วมมือกับอาสาสมัครชาวต่างชาติที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น สนับสนุนโดยมูลนิธิโคเซนชาแห่งประเทศญี่ปุ่น ให้มีแพทย์มาทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยในประเทศไทยเป็นครั้งคราว มีพยาบาลอาสาสมัครมาประจำที่สถานพยาบาลโนนสมบูรณ์ จ.ขอนแก่น
– ด้านจิตใจ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ ผู้ป่วยมักได้รับความทุกข์ทรมานทางด้านจิตใจไม่น้อยไปกว่าด้านร่างกาย องค์การฉันทมิตร มีผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาขององค์การฯ ในตำแหน่งศิษยาภิบาลคริสตจักรอยู่ประจำในนิคมโรคเรื้อน 8 แห่ง เพื่อเป็นเพื่อนคอยเลี้ยงดู หนุนใจผู้ป่วยในนิคมฯ นอกจากนี้ยังได้ให้มีการอบรมอาสาสมัครที่เป็นผุ้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อน มีภาระใจในการไปประกาศ เยี่ยมเยี่ยน หนุนใจผู้ป่วยด้วยกันในโครงการ ฉันทมิตรสัญจร หรือกลุ่มธรรมฆารวาส จำนวน 15 คน อยู่ระยะหนึ่ง เป็นเวลา 4 ปี เนื่องจากผู้ป่วยอายุมากขึ้น ร่างกายทรุดโทรมจึงได้หยุดไป
– ด้านจิตวิญญาณ จากการเป็นเพื่อนแท้และรับใช้พระเจ้าด้วยความรักที่มีต่อผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อนของเจ้าหน้าที่ในองค์การฯ ให้ความช่วยเหลือในด้านร่างกาย และจิตใจนั้นทำให้ผู้ป่วยฯได้สัมผัสความรักของพระเจ้า และตัดสินใจติด ตามพระเยชูคริสต์ เมื่อมีผู้เชื่อในนิคมฯ ใดมากพอที่จะตั้งเป็นศาลาธรรมหรือคริสตจักรได้ ทางองค์การฯ ก็จะสนับสนุนในการก่อสร้างอาคารคริสตจักร และให้มีผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาในตำแหน่งศิษยาภิบาลคริสตจักรขึ้นที่นั่น ทุกๆ ปีๆ ละ 1 ครั้ง ก็จะจัดให้มี ค่ายฉันทมิตร ซึ่งเป็นค่ายใหญ่รวมผู้เชื่อและผู้สน ใจในทุกนิคมฯ ให้ได้รับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตในทางธรรมและพัฒนาจิตวิญญาณของผู้เชื่อให้เข้มแข็ง ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยฯ ที่ตั้งตาคอย ที่จะได้ร่วมสามัคคีธรรมร่วมกับพี่น้องคริสเตียนที่เป็นผู้ป่วยจากนิคมต่างๆ ช่วยให้สมาชิกนิคมต่างๆ ได้รู้จักกันทั่วประเทศ นอกจากนั้นในค่ายยังมีโอกาสเรียนรู้การดูแลตนเอง การเล่นเกมส์ ในค่ายนี้เองผู้ป่วยได้เรียนรู้จักความรักและความเสียสละ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยรู้จักการให้และมีความต้องการส่งต่อความรักให้ผู้อื่นด้วย



การพัฒนาชุมชน
นอกจากงานเหล่านี้ องค์การฉันทมิตรยังได้มีส่วนในการพัฒนาหมู่บ้านในนิคมโรคเรื้อนหลายแห่ง เช่น การขุดสระ ทำบ่อน้ำ สนับสนุนการทำประปาหมู่บ้าน ปั้นโอ่งฯ สร้างเขื่อนดิน สร้างคริสตจักรและสร้างสนามเด็กเล่น
การส่งเสริมอาชีพ มาในปี ค.ศ.2001 โดยการสนับสนุนจาก อเมริกันเลโปรซี่มิชชั่น แนะนำองค์การไฮเฟอร์ เพื่อการส่งเสริมอาชีพอย่างยั่งยืน และตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง มีการส่งเสริมให้ผู้ป่วยและครอบครัวได้เลี้ยงโค, กระบือ, ปลา, กบ หรือการเกษตรสวนครัวหลังบ้านตามความถนัดของชุมชน ช่วยให้ฐานะความเป็นอยู่ของครอบครัวดีขึ้นในจำนวนไม่น้อย
การส่งเสริมความรู้ผู้ปฎิบัติงาน มูลนิธิโคเซนชา ซึ่งเป็นเพื่อนรักตลอดกาลของฉันทมิตรได้จัดทุนให้ผู้ปฎิบัติงานฉันทมิตร ไปดูงานระยะสั้นที่ญี่ปุ่นเกือบทุกปีๆ ละอย่างน้อย 2 คน เป็นการให้กำลังใจความรู้ และความเข้าใจในความร่วมมือกัน ยิ่งกว่านั้น มูลนิธิโคเซนชา ยังได้ให้ทุนดูงานแก่ข้าราชการของกองโรคเรื้อน โรงพยาบาลและ นิคมต่างๆ ด้วย
โครงการสัมผัสรัก
คือ โครงการที่ให้ความเป็นเพื่อนแก่บุตรหลานของผู้ป่วยฯ ทั้งนี้ เนื่องจากลูกหลานผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อน มักได้รับการรังเกียจจากสังคมภายนอกด้วย ประกอบกับขาดการดูแลที่เหมาะสมจากผู้ปกครองที่เป็นผู้ป่วยฯด้อยโอกาสในการศึกษา ทำให้มีปัญหามากทั้งในด้านร่างกายจิตใจ และสังคม ทางองค์การฯ จึงจัดโครงการให้ความช่วยเหลือแก่บุตรหลานของผู้ป่วยฯ ในทุกนิคมใน 3 ด้าน คือ
– จัดตั้งศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในนิคมฯ เพื่อเตรียมเด็กให้มีความพร้อมในด้านสุขภาพร่างกาย ทางสติปัญญาและสังคมโดยมีนักโภชนากรที่เป็นอาสาสมัครชาวญี่ปุ่นร่วมในโครงการฯด้วย ในระยะแรกและช่วยให้พ่อแม่ได้ไปประกอบอาชีพหารายได้เพิ่ม เพื่อช่วยเหลือครอบครัว – จัดหาทุนเพื่อการศึกษาให้แก่บุตรหลานผู้ป่วย ที่ยาก จน โดยประสานงานกับองค์กรทุน เพื่อการศึกษาเด็ก เช่นองค์การคอมแพสชั่น และมูลนิธิโคเซนชา, สมาคมชาวญี่ปุ่นในประเทศไทยและส่วนบุคคลอื่นๆ ด้วย ซึ่งต่อมาให้ทุนถึงระดับอุดมศึกษา
– จัดค่ายสัมผัสรักและทัศนศึกษา สำหรับบุตรหลานผู้ป่วยในนิคมต่างๆ เพื่อพัฒนาชีวิตด้านจิตวิญญาณและสังคมและปลูกฝังจริยธรรมคริสเตียนและส่งเสริมสติปัญญา โดยตั้งชื่อค่ายว่า ค่ายสัมผัสรัก จัดปีละครั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1989ต่อมาในปี 1996 ได้จัดกิจกรรมตามวัยของเด็ก โดยแบ่งเป็น2 กลุ่ม คือ – เยาวชน อายุตั้งแต่ 9 – 18 ปี จัดค่าย 3 – 4 วัน ในสถานที่ต่างๆ เด็ก อายุต่ำกว่า 9 ขวบลงมา จัดทัศนศึกษา1 วัน ที่ผ่านมาได้จัดในสวนสนุก ต่างๆ เช่น แดนเนรมิต ดรีมเวิลด์และซาฟารีเวิลด์ ฯลฯ ระยะหลังคอมแพสชั่นได้เน้นการพัฒนามากกว่าการสงเคราะห์ หลายโครงการช่วยให้บุตรหลาน ก้าวหน้าอย่างมาก บางโครงการได้พัฒนาถึงระดับนานาชาติ
